วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2555

คำดูถูก คือ ยาชูกำลัง



                                

           http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/168/6168/images/12.jpg


ธรรมชาติของมนุษย์ไม่อยากได้รับคำนี้แต่ร้ไหมว่า คำดูถูก ช้วยสร้างคนมามากนักต่อนักแล้ว
อย่าเอาคำดูถูกมากดทับตัวเองให้ต่ำต้อยด่อยค่าบุคคลที่โปรยคำดูถูกแก่เรา จงขอบคุณเขา
คำดูถูกจะสร้างพลังฮึกเหิมแก่เราและความฮึกเหิมนี้แหละจะทำให้เรากลายเป็นคนแถวหน้าคำดู
ถูกมีค่ามากกว่าคำชมเพราะคำดูถูกช่วยทำให้เรารู้จักหาวิธีพัฒนาตัวเองรู้จักที่จะทำให้ตัวเองก้าวหน้า
ถ้าคุณรักตัวเอง
คุณต้องทำให้การดูถูกเปลี่ยนไปในทางสร้างสรรค์
ทำให้เป็นโอกาสสำหรับตัวเราเอง
ยิ่งโดนดูถูกมากเท่าไร
ยิ่งต้องมีพลังการต่อสู้มากเท่านั้น
การมัวแต่เศร้าโศกกับคำดูถูก
เท่ากับคุณไม่รักตัวเอง

จากหนังสือเรื่องทุกข์หรือสุขอยู่ที่ใจกำหนดให้เป็น ผู้แต่ง ทิพย์อาภา

วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555

วันสืบนาคะเสถียร






                                http://www.lib.ru.ac.th/journal/sep/images/Seub-a02.jpg




สืบ นาคะเสถียร หรือนามเดิมชื่อ "สืบยศ" เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๒ ที่ตำบลท่างาม อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี บิดาชื่อ นายสลับ นาคะเสถียร เคยดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด ปราจีนบุรี มารดาชื่อ นางบุญเยี่ยม นาคะเสถียร สืบ นาคะเสถียรมีพี่น้องทั้งหมด ๓ คน โดยสืบ นาคะเสถียร เป็นบุตรชายคนโต น้องชาย และน้องสาวอีก ๒ คนคือ คุณกอบกิจ นาคะเสถียร และคุณกัลยา รักษาสิริกุล สืบมีบุตรสาว ๑ คน ชื่อ ชินรัตน์ นาคะเสถียร บุคลิกประจำตัวของ สืบ นาคะเสถียร คือเมื่อเขาสนใจ หรือตั้งใจทำอะไรแล้วก็จะมีความมุ่งมั่น ตั้งใจทำอย่างจริงจังจนประสบความสำเร็จ และเป็นผู้ที่มีผลการเรียนดีมาโดยตลอด

           โดยที่สายตระกูลของ สืบ นาคะเสถียร เป็นครอบครัวชาวนา ชีวิตในช่วงปฐมวัยจึงต้องช่วยทำงานในนาของมารดา เมื่อว่างจากภาระดังกล่าว ก็ออกท่องเที่ยวไปกับเพื่อนๆ โดยมีไม้ง่ามหนังสติ๊กคู่ใจ ได้เข้าเรียนชั้น ประถมตอนต้น ที่โรงเรียนประจำจังหวัด ปราจีนบุรี ช่วงปิดเทอมว่างจากการเรียน ก็ออกไปช่วยทางบ้าน ยกเสริมแนวคันนาเอง เพื่อไม่ให้มีข้อพิพาทกับเพื่อนบ้าน ทำงานอยู่กลางแจ้งทั้งวัน แม้แดดจะร้อนก็มิเคยปริปากบ่น ครั้นเรียนจบชั้นประถม 4 ต้องจากครอบครัวไปเรียนอยู่ที่ โรงเรียนเซนหลุยส์ จังหวัดฉะเชิงเทรา จนกระทั่งเรียนจบชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๕

           สืบ นาคะเสถียร เข้าศึกษาในคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๑ สืบมีความตั้งใจในการศึกษาอย่างเต็มประสิทธิภาพ และเข้าร่วมกิจกรรมนิสิต โดยเป็นที่ทราบกันดีระหว่างผู้ใกล้ชิดว่า สืบเป็นผู้มีใจรักศิลปะ และสูงส่งในเชิงมนุษยสัมพันธ์ มีระเบียบในการดำเนินชีวิต ในสมัยเรียนอย่างมีแบบแผน พ.ศ. ๒๕๑๔ จบการศึกษาจาก คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ต่อมา พ.ศ. ๒๕๑๖ สืบเข้าทำงานที่ส่วนสาธารณะของการเคหะแห่งชาติ

           สืบ นาคะเสถียร ศึกษาในระดับปริญญาโท สาขา วนวัฒน์วิทยา ที่คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๗ จนสำเร็จการศึกษา และในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ได้เริ่มชีวิตข้าราชการ โดยบรรจุเข้ารับราชการ ตำแหน่งพนักงานป่าไม้ตรี กองอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมป่าไม้ และเริ่มชีวิตข้าราชการกรมป่าไม้ ซึ่งขณะนั้น กองอนุรักษ์สัตว์ป่า เป็นเพียงหน่วยงานเล็ก ๆ ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้น เขาตัดสินใจเลือกกองนี้ เพราะต้องการทำงาน เกี่ยวกับสัตว์ป่ามากกว่างานที่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ ป่าไม้โดยตรง สืบ เริ่มงานครั้งแรกที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขาเขียว-เขาชมภู่ จังหวัดชลบุรี ได้ผลักดันให้ สืบต้องเข้าไปทำหน้าที่ผู้รักษากฎหมาย อย่างเลี่ยงไม่พ้น ที่นั่นเขาได้จับกุม ผู้บุกรุกทำลายป่าโดยไม่เกรงอิทธิพลใดๆ ผู้ต้องหาล้วนได้รับการปฏิบัติอย่างสุภาพนิ่มนวล และที่นี่ สืบเริ่มเรียนรู้ว่า การเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่ซื่อสัตย์ นั้นเจ็บปวดเพียงไหน สืบทำงาน อยู่ ๓ - ๔ ปี
           ในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ สืบก็ได้รับทุนจาก British Council ไปเรียนระดับปริญญาโท สาขา อนุรักษ์วิทยา ที่มหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ จากนั้น พ.ศ. ๒๕๒๔ กลับมารับตำแหน่งหัวหน้าเขต ห้ามล่าสัตว์ป่า บางพระ มีส่วนร่วมในการจัดการ และประสานงาน รวมทั้งเป็นวิทยากร ฝึกอบรมพนักงาน พิทักษ์ป่าอีกหลายรุ่น จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๕๒๖ สืบได้ขอย้ายตัวเอง เข้ามาเป็นนักวิชาการ กองอนุรักษ์สัตว์ป่า ทำหน้าที่วิจัยสัตว์ป่าเพียงอย่างเดียว ในระยะนี้ เป็นจังหวะที่ สืบได้แสดงความเป็นนักวิชาการออกมาอย่างเต็มที่ งานวิจัยศึกษาสัตว์ป่าเป็นงานที่ สืบทำได้ดี และมีความสุขในการทำงานวิชาการมาก สืบรักงานด้านนี้เป็นชีวิต จิตใจ อันเป็นจุดเริ่มต้น ที่เขาได้ผูกพันกับสัตว์ป่าอย่างจริงจัง เขาเริ่มใช้เครื่องมือต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกล้อง วีดีโอ กล้องถ่ายภาพนิ่ง และการสเก็ตซ์ภาพ ในการบันทึกงานวิจัยทั้งหมด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้กลาย เป็นผลงานการวิจัยสัตว์ป่าชิ้นสำคัญของเมืองไทยในเวลาต่อมาสืบ นาคะเสถียร ได้รับมอบหมาย ปฏิบัติงานในหน้าที่ หัวหน้าโครงการอพยพสัตว์ป่าตกค้าง ในพื้นที่อ่างเก็บน้ำ เขื่อนรัชชประภา (เชี่ยวหลาน) จังหวัด สุราษฏร์ธานี ในปี พ.ศ. ๒๕๒๙ ให้เข้าไปช่วยเหลืออพยพสัตว์ป่าที่ตกค้าง ในอ่างเก็บน้ำ ซึ่งเกิดจากการสร้างเขื่อนเชี่ยวหลาน สืบได้ทุ่มเทเวลาให้กับการกู้ชีวิตสัตว์ป่าที่หนีภัยน้ำท่วม โดยไม่ได้นึกถึง ความปลอดภัยของตนเองเลย จากการทำงานชิ้นดังกล่าว สืบเริ่มเข้าใจ ปัญหาทั้งหมดอย่างถ่องแท้ เขาตระหนักว่าลำพังงานวิชาการเพียงอย่างเดียวย่อมไม่อาจหยุดยั้งกระแสการทำลายป่า และสัตว์ป่าอันเป็นปัญหา ระดับชาติได้ ดังนั้น เมื่อมีกรณีรัฐบาลจะสร้างเขื่อนน้ำโจน ในบริเวณทุ่งใหญ่นเรศวร สืบจึงโถมตัวเข้าคัดค้านเต็มที่
            สืบ นาคะเสถียร ได้กลับเข้ามารับราชการที่กองอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมป่าไม้ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๑ และต่อมา พ.ศ. ๒๕๓๒ สืบได้เข้ารับตำแหน่งหัวหน้าเขต รักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง สืบได้พยายามในการที่จะเสนอให้ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร และห้วยขาแข้งมีฐานะเป็นมรดกของโลก โดยได้รับการยกย่องอย่างเป็นทางการ จากองค์การสหประชาชาติ สืบเล็งเห็นว่า ฐานะดังกล่าวจะเป็นหลักประกันสำคัญที่คอยคุ้มครองป่าผืนนี้เอาไว้อย่างถาวร ปลายปี พ.ศ. ๒๕๓๒สืบได้รับทุน ไปเรียนต่อระดับปริญญาเอก ที่ประเทศอังกฤษ พร้อมๆ กับได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่ง หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ซึ่งเป็นป่าอนุรักษ์ที่มีความสำคัญมากไม่แพ้ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร แต่ในที่สุด สืบก็ตัดสินใจเดินทางเข้ารับตำแหน่ง หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง แม้จะรู้ดีว่าหนทางข้างหน้าเต็มไปด้วย ความยากลำบากนานัปการ
          เช้ามืดวันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๓ สืบ นาคะเสถียร ตัดสินใจผ่าทางตันด้วยการสั่งเสียลูกน้อง คนสนิท และเขียนจดหมายสั่งลา ๖ ฉบับ ชำระสะสางภาระรับผิดชอบ และทรัพย์สินส่วนตัวที่คั่งค้าง มอบหมาย เครื่องใช้ และอุปกรณ์ในการศึกษาวิจัยด้านสัตว์ป่า ให้สถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำ เพื่อนำไปใช้ตามวัตถุกระสงค์ดังกล่าว ตั้งศาลเพื่อแสดงความคารวะต่อ ดวงวิญญาณของเจ้าหน้าที่ ซึ่งพลีชีพรักษาป่าห้วยขาแข้ง แล้วสวดมนต์ไหว้พระจนจิตใจสงบ ขณะที่ฟ้ามืดกำลังเปิดม่านรับวันใหม่ เสียงปีนดังขึ้นนัดหนึ่งในราวป่าลึก ที่ห้วยขาแข้ง สืบ นาคะเสถียร ก็ปิดม่านชีวิตของเขาลง และเป็นบทเริ่มต้น ตำนานนักอนุรักษ์ไทย สืบ นาคะเสถียร ผู้ที่รักป่าไม้ สัตว์ป่าและธรรมชาติ ด้วยกาย วาจา และหลังจากนั้นอีกสองอาทิตย์ต่อมา ห่างจากบริเวณที่เกิดเสียงปืนดังขึ้นไม่กี่สิบเมตรบรรดาเจ้าหน้าที่ ระดับสูงของกรมป่าไม้ รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด นายทหาร นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ นายอำเภอ ป่าไม้เขต และเจ้าหน้าที่ป่าไม้ อีกนับร้อยคน ต่างกุลีกุจอมาประชุมกันที่ห้วยขาแข้ง อย่างแข็งขัน เพื่อหามาตรการป้องกันการบุกรุก ทำลายป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง สืบ นาคะเสถียร รอวันนี้มาตั้งแต่วันแรกที่เขามาดำรงตำแหน่ง หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งนี้แล้ว แต่หากไม่มีเสียงปืนนัดนั้น การประชุมดังกล่าวก็คงไม่เกิดขึ้นเช่นกัน การจากไปของเขานับเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ และเป็นความสูญเสียที่นักอนุรักษ์ธรรมชาติทุกคน ไม่อาจปล่อยให้ผ่านพ้นไป โดยปราศจากความทรงจำ

วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ต้องสู้จึงชนะ

คนใจสู้ จะมองเห็นหนทางแก้ปัญหา ปัญหาทุกอย่างล้วนมีทางแก้ไข ชีวิตจะขาดรสชาติ ถ้าไม่มีอุปสรรคให้เราได้ลิ้มรส และได้สัมผัสมัน อุปสรรคและปัญหาทำให้คนเราได้รู้จักการต่อสู้ เมื่อใด

ขึ้นฉ่าย





                                http://kanchanapisek.or.th/kp6/BOOK13/pictures/s13-222-4.jpg


ลักษณะขึ้นฉ่ายเป็นพืชล้มลุกฤดูเดียว ทุกส่วนของต้นมีกลิ่นหอม ลำต้นอวบเป็นเหลี่ยม ด้านในกลวงสูง
30-50 เซนติเมตร ใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 2-3 คู่ใบย่อยรูปไข่กว้าง โคนสอบเข้าหาก้านใบ ขอบใบจักึกเป็นแฉกไม่เท่ากัน ดอกเป็นช่อขนาดใหญ่คล้ายซี่ร่ม ดอกย่อยขาดเล็กสีขาวเป็นดอกสมบูรณ์เพศ
ผลแห้งแก่แล้วแตก รูปกลมรี ขนาดเล็ก สีน้ำตาลอ่อน มีกลิ่นหอม
การใช้ประโยชน์
ใช้เป็นผักสด รับประทานส่วนใบและก้านนำไปเป็นผักชูรสอาหารอีกหลายประเภทและเป็นผักสมุนไพรในทางยาเช่น ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคได้ และโรคหัวใจขาดเลือดได้เช่นกัน

ที่มาจากหนังสือเรื่องผักสมุนไพร ผู้แต่ง ปิยะ  เฉลิมกลิ่น

ขมิ้นชัน


http://www.industry.in.th/uploadedimages/knowledge/images/km39562_20120620173833_298967078_fullsize.jpg


                                                             ขมิ้นชัน
ลักษณะของขมิ้นชัน คือ เป็นพืชล้มลก มีอายุหลายปี มีลำต้นใต้ดินที่เรียกว่าเหง้า ประกอบด้วยแง่งหลักที่เรียกกว่า หัว แต่ถ้ามีลักษณะยาวคล้ายนิ้วมือเรียกว่า นิ้ว มีกลิ่นหอมใบเดียวออกสลับกันแตกขึ้นมาเหง้า  ออกดอกเป็นช่อรูปทรงกระบอก โดยแทงออกมาจากเหง้าบริเวณใจกลางกลุ่มใบ ดอกย่อยของขมิ้นชันสีเหลืองอ่อน
การใช้ประโยชน์
ขมิ้นเหลืองหรือขนิ้นชัน ใช้แต่งกลิ่น สี และรสอาหาร และสามารถช่วยป้องกันมะเร็งได้น้ำต้มขมิ้น
ใช้รักษาอาการนิ่วในถุงน้ำดีรวมทั้งโรคกระเพราะอาหาร เป็นต้น


ที่มาจากหนังสือเรื่องผักสมุนไพร ผู้แต่ง ปิยะ  เฉลิมกลิ่น

วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วันวิทยาศาสตร์






      http://kruvoravut.files.wordpress.com/2012/08/478.jpg?w=440&h=320
     
 วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2411 ถือเป็นวันสำคัญยิ่งในวงการศึกษา วงการดาราศาสตร์ และวงการวิทยาศาสตร์ของไทย เพราะเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารค และสถลมารค เพื่อทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวงที่ ต.หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
        พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาสามารถปรับปรุงสยามประเทศให้เจริญทัดเทียมนานาอารยประเทศ ทรงรับเอาศิลปวิทยาการและความคิดสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ในการปกครองประเทศ ด้วยเหตุนี้องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) จึงได้ประกาศยกย่องพระเกียรติคุณของพระองค์ให้ทรงเป็นบุคคลสำคัญของโลกด้วยพระราชกรณียกิจและพระเกียรติคุณนานัปการ โดยเฉพาะพระราชกรณียกิจด้านดาราศาสตร์
        เนื่องด้วยพระองค์ทรงสนพระทัยวิชาคณิตศาสตร์และวิชาดาราศาสตร์ในตำราโหราศาสตร์ของไทย ในที่สุดพระองค์ทรงค้นคิดวิธีการคำนวณปักข์ (ครึ่งเดือนทางจันทรคติ) โดยอาศัยหลักตำราสารัมภ์ของมอญ เพื่อประโยชน์ในการกำหนดวันธรรมสวนะ (วันพระ) ให้ถูกต้องตามการโคจรของดวงจันทร์ที่เรียกว่า ปฏิทินปักขคณนา ยิ่งกว่านั้น พระองค์ได้ทรงคิดสูตรสำเร็จในการคำนวณปักข์ออกมาในรูปกระดานไม้สี่เหลี่ยมผืนผ้า มีเครื่องหมายเรียงเป็นแถว 10 แถว แต่ละแถวมีจำนวนต่างกัน และมีเครื่องหมายแทนดวงดาว 5 ดวง เดินเคลื่อนไหวเหนือแถวเหล่านั้นคล้ายกับเดินตัวหมากรุก ก็จะได้วันพระที่ถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาคำนวณ เรียกว่า กระดานปักขคณนา ปัจจุบันนี้คณะธรรมยุตยังคงใช้กันอยู่ สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นสาเหตุที่จุดประกายให้พระองค์ทรงเริ่มสนพระทัยในวิชาดาราศาสตร์อย่างจริงจัง
        ในพระราชฐานของพระองค์ทั้งที่กรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัดจะมีหอดูดาว โดยเฉพาะ หอชัชวาลเวียงไชย นี้มีความสำคัญมากในประวัติศาสตร์วิชาดาราศาสตร์ของไทย ด้วยมีพระราชประสงค์จะให้เป็นสถานที่สังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ในการรักษาเวลามาตรฐานของประเทศไทยต่อไป ดังนั้นหอนี้จึงเป็นอนุสรณ์แห่งสัมฤทธิผลในทางวิทยาศาสตร์เรื่องระบบเวลา พระองค์ทรงสถาปนาระบบเวลามาตรฐานขึ้นในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2394 โดยสร้างพระที่นั่งภูวดลทัศไนยขึ้นในพระบรมราชวัง ใช้เป็นหอนาฬิกาหลวงบอกเวลามาตรฐานของประเทศไทยสมัยนั้น โดยมีพนักงานตำแหน่งพันทิวาทิตย์ เทียบเวลาตอนกลางวันจากดวงอาทิตย์ และพันพินิตจันทรา เทียบเวลาตอนกลางคืนจากดวงจันทร์
        นอกจากนี้พระองค์ยังได้ทรงคำนวณเหตุการณ์ล่วงหน้าถึง 2 ปีว่า วันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 จะเกิดเหตุการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงในประเทศไทย ที่ที่จะเห็นเหตุการณ์สุริยุปราคาชัดเจนที่สุดก็คือ หมู่บ้านหัววาฬ ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พระองค์จึงเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรเหตุการณ์สุริยุปราคาที่นั่น และเหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่พระองค์ทรงพยากรณ์ทุกประการ ไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่วินาทีเดียว ทางสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย โดยเฉพาะทางด้านดาราศาสตร์จึงคิดกันว่า น่าจะถือว่าวันนี้เป็นวันวิทยาศาสตร์ของไทย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการกำหนดวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติในการประชุม เมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2525 เพื่อเทอดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็น "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" พร้อมทั้งกำหนดให้วันที่ 18 สิงหาคมของทุกปีเป็น "วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ"  

วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วันแม่แห่งชาติ


http://www.tlcthai.com/motherday/wp-content/uploads/2011/08/mom1.jpg



ทุกคนเกิดมาต้องแม่ถ้าไม่มีแม่เราก็ไม่ได้เกิดมาพระคุณของยิ่งไหญ่มากจนเราไม่ทดแทนคุณได้หมดแต่เราก็สามารถทดแทนคุณท่านได้โดยทำตัวให้ท่านได้ภูมิใจเป็นคนดีต่อแม่เชื่อฟังในเวลาที่ท่านสอนเรา ที่ท่านสอนเรานั้นท่านอยากให้เราเป็นคนดี แม่ได้ดูแลเรามาตั้งแต่เราเป็นเด็กตัวเล็กๆค่อยให้กินนมให้กินแต่อาหารดีๆสำหรับเราทุกอย่างและคอยดูแลเราไม่ให้เจ็บป่วยรักษาเราเป็นอย่างดี






วันเข้าพรรษา


     

                       https://wiki.stjohn.ac.th/groups/education_news/wiki/6602c/images/a28b2.jpg          

    วันเข้าพรรษา เป็นวันสำคัญในพุทธศาสนาวันหนึ่ง ที่พระสงฆ์อธิษฐานว่าจะพักประจำอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง ตลอดช่วงฤดูฝนที่มีกำหนดเป็นระยะเวลา 3 เดือน ตามที่พระธรรมวินัยบัญญัติไว้ โดยไม่ไปค้างแรมที่อื่น 
   "เข้าพรรษา" แปลว่า "พักฝน" หมายถึง พระภิกษุสงฆ์ต้องอยู่ประจำ ณ วัดใดวัดหนึ่งระหว่างฤดูฝน โดยเหตุที่พระภิกษุในสมัยพุทธกาล มีหน้าที่จะต้องจาริกโปรดสัตว์ และเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนแก่ประชาชนไปในที่ต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องมีที่อยู่ประจำ แม้ในฤดูฝน ชาวบ้านจึงตำหนิว่าไปเหยียบข้าวกล้าและพืชอื่น ๆ จนเสียหาย พระพุทธเจ้าจึงทรงวางระเบียบการจำพรรษาให้พระภิกษุอยู่ประจำที่ตลอด 3 เดือน ในฤดูฝน คือ เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี เรียกว่า "ปุริมพรรษา" 
     ถ้าปีใดมีเดือน 8 สองครั้ง ก็เลื่อนมาเป็นวันแรม 1 ค่ำ เดือนแปดหลัง และออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เรียกว่า "ปัจฉิมพรรษา" เว้นแต่มีกิจธุระคือเมื่อเดินทางไปแล้วไม่สามารถจะกลับได้ในเดียวนั้น ก็ทรงอนุญาตให้ไปแรมคืนได้ คราวหนึ่งไม่เกิน 7 คืน เรียกว่า "สัตตาหะ" หากเกินกำหนดนี้ถือว่าไม่ได้รับประโยชน์แห่งการจำพรรษา จัดว่าพรรษาขาด 
ที่มาจาก  http://hilight.kapook.com/view/13698/

วันอาสาฬหบูชา

   



                                 http://www.dhammajak.net/board/files/268_1185777848.jpg_829.jpg




    ทุกวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี จะตรงกับวันสำคัญทางพุทธศาสนาอีกหนึ่งวัน นั่นคือ "วันอาสาฬหบูชา" ซึ่งในปี พ.ศ.2555 นี้ วันอาสาฬหบูชา ตรงกับวันที่ 2 สิงหาคม และวันเข้าพรรษา ตรงกับวันที่ 3 สิงหาคม
    ทั้งนี้ คำว่า "อาสาฬหบูชา" สามารถอ่านได้ 2 แบบ คือ อา-สาน-หะ-บู-ชา หรือ อา-สาน-ละ-หะ-บู-ชา ซึ่งจะประกอบด้วยคำ 2 คำ คือ อาสาฬห ที่แปลว่า เดือน 8 ทางจันทรคติ กับคำว่า บูชา ที่แปลว่า การบูชา เมื่อนำมารวมกันจึงแปลว่า การบูชาในเดือน 8 หรือการบูชาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในเดือน
   วันอาสาฬหบูชา คือวันที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประกาศพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก หลังจากตรัสรู้ได้ 2 เดือน   โดยแสดงปฐมเทศนาโปรดพระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้แก่ พระโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นมคธ จน พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้บรรลุธรรมและขอบวชเป็นพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา จึงถือว่าวันนี้มีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์ครั้งแรกในโลก คือ มีทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
 ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนพุทธศักราช 45 ปี
   ทั้งนี้ พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 เรียกว่า  "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร"แปลว่า พระสูตรแห่งการหมุนวงล้อธรรม ซึ่งหลังจากปฐมเทศนา หรือเทศนากัณฑ์แรกที่พระองค์ทรงแสดงจบลง พระอัญญาโกณฑัญญะก็ได้ดวงตาเห็นธรรม สำเร็จเป็นพระโสดาบัน จึงขออุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก็ได้ประทานอุปสมบทให้ด้วยวิธีที่เรียกว่า "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" พระโกณฑัญญะจึงได้เป็น พระอริยสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา ต่อมา พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม และได้อุปสมบทตามลำดับ 

ที่มาจาก http://hilight.kapook.com/view/26024/





พรรณไม้ประจำวันจันทร์

  






  http://derossobby.com/wp-content/uploads/2012/08/original_Dok_kaew1.jpg


   คนเกิดวันจันทร์มีจุดเด่นที่เป็นคนมีเสน่ห์ เป็นคนที่รักและหมายปองของคนทั่วไปหากเป็นชายก็เป็นคนที่ดูสุขุมนุ่มลึก ถ้าเป็นผู้หญิงก็เป็นคนที่งามซึ้งเจ้าเสน่ห์ มีคนมาลุ่มหลงหวังมอบรักให้อยู่เสมอๆมีคู่รักมากหน้าหลายตา เป็นคนเจ้าชู้เงียบ แต่สุดท้ายก็มักจะไม่สมหวังในรัก หากจะมีปัญหาบ้างก็คงเป็นเพราะตัวเองที่คิดมากคิดไกลเกินไป
   เป็นคนสุภาพพูดจาไพเราะอ่อนหวานกิริยางดงามนุ่มนวลมนุษย์สัมพันธ์ดีมีน้ำใจดูอบอุ่นแต่หากโมโหแล้วมักโมโหร้ายแต่เป็นคนเจ้าสำราญชอบแต่งตัวหพบปะผู้คนค่อนข้างเป็นคนเจ้าน้ำตาคนอ่อนแอช่างเอ่าใจและก็ชอบให้ผู้อื่นเอาใจด้วยเช่นกัน
   คนเกิดวันจันทร์ควรลดความวิตกกังวล ลดความเป็นคนช่างคิดลงบ้างสักนิด ให้ระวังเรื่องของการคบคนและให้ระวังในเรื่องใช้จ่ายอย่าตามใจตัวเอง
   ไม้ประดับมงคลที่ถูกโฉลกสำหรับคนเกิดวันจันทร์ควรจะมีสีขาว ขาวครีม ไปจนถึงเหลืองเช่น ดอกกวนอิม ดอกโกสน ดอกแก้ว และดอกจำปี เป็นต้น

ทีมาจากหนังสือ พรรณไม้ประจำวันเกิด ผู้แต่ง วชิรพงศ์  หวลบุตตา

วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2555

พรรณไม้ประจำวันเกิดวันอาทิตย์

  



                                http://www.panmai.com/Tip/Tip06/champa.jpg

 คนเกิดวันอาทิตย์มักเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นแรงกล้า มีความทะเยอทะยานสูง เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ มีลักษณะเป็นผู้นำชอบช่วยเหลือผู้ที่ด้อยกว่าตนเอง เป็นคนรักเพื่อนฝูงมาก จริงใจประเภทถึงไหนถึงกัน เป็นคนอารมณ์ร้อนโกรธง่ายหายเร็ว สุภาพอ่อนโยนคล่องแคล่ว กระฉับกระเฉงและกระตือรือร้นชอบพบปะผู้คนพูดจาดีมีหลักการชอบเดินทางท่องเที่ยวผจญภัย
   ความรักเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับคนเกิดวันอาทิตย์กล้าได้กล้าเสียในเรื่องของความรักชอบสนุกเจ้า
สำราญและเจ้าชู้พอสมควรรักหลงคนง่ายและมักมีดวงในเรื่องของความรัก
   คนเกิดวันอาทิตย์ควรระวังเรื่องความใจร้อนหูเบาเชื่อคนง่ายและเรื่องหน้าใหญ่ใจโตชึ่งอาจจะสร้างศัตรูโดไม่รู้ตัวแต่ให้ระวังเรื่องการใช้สอยเพราะเป็นคนใจกว้าง
   ไม้ประดับมงคลของคนที่เกิดวันอาทิตย์จะเป็นพรรณไม้จำปา กุหลาบ โกสนชบา เป็นต้น

ที่มาจากหนังสือ พรรณไม้ประจำวันเกิด ผู้แต่ง วชิรพงศ์  หวลบุตตา

วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555

รัก...ไม่ใช่เรื่องต้องรีบร้อน






                     http://blog.eduzones.com/images/blog/entertain/20110713142151.jpg

จะมีประโยชน์อะไร...
หากคนสองคนยืยยันหนักแน่นว่ารักกัน
แต่ว่าหัวใจ...ก็ยังไม่แน่นอนว่าจะรักกัน
มันเป็นอย่างนั้นจริงหรือ ?
ความรัก..แม้จะเป็นสิ่งที่ไร้รูปร่าง ไร้ตัวตนแต่มันก็มีช่วงเวลาหรือระยะเวลาของมัน
ที่จะก่อขึ้นอย่างชัดเจนและแน่นอนนั้นไม่อาจจะเกิดได้ในระยะเวลาเพียงสั้นๆ
เพียงแค่คบกันไม่กี่วัน เจอกันไม่กี่หนหรือได้ทำอะไรร่วมกันไม่กี่อย่างแม้ต่างคนจะรู้สึกดีต่อกันมากแค่ไหนนั้นก็เรียกไม่ได้ว่าเป็น..ความรัก จนกระทั่งเมื่อถึงเวลาของมันจริงๆนั้นแหละการกระทำของคนสองคนจึงบ่งบอกออกมาเองว่าวันนี้นาทีนี้เรารักกันแล้วและรักกันจากใจจริงด้วย
แต่แล้วทำไมเราจึงจะต้องทำให้คำว่า รัก จากปากของเราและเขากลายเป็นคำโกหกหรือเป็นคำที่มักง่ายด้วยในเมื่อก็ไม่ได้มีไครบีบบังคับและเร่งรัดว่าถ้าเราไม่ตกลงกันหรือสรุปให้แน่ว่าเรารักกันภายในวันนี้ความสัมพันธ์ของเราต้องจบลงทันที ไปต่อไม่ได้
(ลองถ้ามีความรักมันจริงในใจของคนสองคนล่ะก็ยังไงมันก็ไม่มีวันเปลี่ยนเป็นอื่นได้แน่และเช่นกันหากว่าในใจมันไม่ใช่ไม่ว่าว่าจะโกหกกันอย่างไร ก็รู้กันอยู่ดี)

วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วันภาษาไทยแห่งชาติ




http://cdare.bpi.ac.th/home/work/pasathai54/thai_p-768924.jpg

ประเทศไทยมีภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติ อันเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของชาติ สมควรจะได้รับการทำนุบำรุงส่งเสริม และอนุรักษ์ไว้ให้ยั่งยืนตลอดไป

ทั้งนี้ในยุคปัจจุบันวิชาการและเทคโนโลยีต่างๆ ได้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วเกิดเทคนิคใหม่ๆ ในการติดต่อสื่อสาร มี่มุ่งเน้นความสะดวกรวดเร็ว ส่งผลให้ภาษาไทยซึ่งเป็นสื่อกลางสำคัญในการติดต่อและผูกพันต่อการดำรงชีวิตประจำวันของคนไทยได้รับผลกระทบ ทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน ทำให้ภาษาไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างน่าวิตกเป็นอย่างยิ่ง สภาพการณ์เช่นนี้หากไม่เร่งรีบหาทางแก้ไขและป้องกันเสียแต่เนิ่นๆ การใช้ภาษาไทยของเราก็จะยิ่งเสื่อมลง จะส่งผลเสียหายต่อเอกลักษณ์และคุณค่าของภาษาไทยเป็นทวีคูณ

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ความรักก็เหมือนกุหลาบที่มีหนาม

                                               ดอกกุหลาบกับความรัก
         

                                                                   http://learners.in.th/file/wilaiporn2525/5_14.jpg
        มีหลายคนเคยพูดไว้ว่า  ความรัก ก็เหมือน ดอกกุหลาบ ถึงแม้มันจะสวยงามแต่มันก็มีหนามแหลมคม การดูแลความรักก็เป็นเช่นเดียวกันกับการปลูกดอกกุหลาบที่มีเมล็ดซึ่งเกิดจากบุคคลสองคนที่โคจรมาเจอกันและตัดสินใจจะร่วมดูแลต้นกุหลาบต้นหนึ่งร่วมกัน เมื่อต้นของมันยังเล็กเราจะคอยช่วยกันดูแลทะนุถนอมมันอย่างดี เฝ้าดูว่าเมื่อไหร่มันจะเติบโตขึ้นจนกระทั่งมีดอกให้เราเชยชม
           คนที่มีความรักทุกคนก็คงเป็นเช่นเดียวกัน ทุกคนก็คงมีความหวัง หวังว่าความรักของคุณจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ การดูแลความสัมพันธ์จึงเป็นสิ่งสำคัญ มันก็คงจะไม่แตกต่างกับการรดน้ำให้ต้นกุหลาบของคุณ และเมื่อต้นกุหลาบของคุณเติบโตขึ้น มันจะไม่ใช่ต้นกล้าอีกแล้ว มันมีหนามเพิ่มขึ้นมาด้วย และมันก็คงเหมือนกับอุปสรรคที่คุณต้องเจอ เมื่อคุณถูกหนามของมันตำเข้า แน่นอนว่าคุณคงรู้สึกเจ็บไม่ใช่น้อย เวลานี้แหละเป็นช่วงเวลาสำคัญของการตัดสินใจ
          การตัดสินใจในเรื่องความรัก ไม่สามารถใช้เหตุผลเพียงอย่างเดียวได้ แต่หากใช้อารมณ์เพียงอย่างเดียวก็ใช่ว่าจะถูกเสมอไป ถ้าคุณใช้แต่อารมณ์ในตอนนั้น คุณอาจจะตัดต้นกุหลาบของคุณทิ้ง โดยไม่ได้คำนึงถึงระยะเวลาที่คุณเฝ้าดูแลมันมาเลย แต่ถ้าคุณใช้เหตุผลตัดสิน ก็สามารถที่จะคิดได้ว่า ถ้าปล่อยให้มันเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ มันอาจจะทำร้ายคุณมากกว่านี้ และหนามของมันอาจจะไปทำร้ายคนที่อยู่รอบข้างคุณได้อีก และถ้าหากคุณตัดมันทิ้งไปแล้ว คุณจะรู้สึกอย่างไร?
          ต้นกุหลาบที่คุณและใครอีกคนหนึ่งเคยช่วยกันดูแลรดน้ำพรวนดินจนมันเติบโต ถ้าวันหนึ่งมันถูกตัดลงเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าจะต้องรู้สึกเสียใจ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรอีกในเมื่อคุณทำลายมันลงไปด้วยมือของคุณเอง เพราะฉะนั้น ถ้าวันนี้คุณพบเมล็ดกุหลาบของคุณแล้ว 
ดูแลมันให้ดี ให้มันเติบโตขึ้นจนได้ผลิดอกใบให้คุณชื่นชม เพราะถึงแม้หนามของมันจะทำร้ายคุณบ้าง แต่ถ้าคุณทั้งสองช่วยกันดูแลมันเป็นอย่างดี หนามนั้นก็เป็นได้เพียงแค่ส่วนประกอบหนึ่งของดอกกุหลาบเท่านั้นเอง ให้ดอกกุหลาบของคุณได้เบ่งบานในหัวใจตลอดไป

เรื่องปุ๋ยไส้เดือน

                                

                                 http://www.rangsit.org/images/worm/p7.jpg


คุณสมบัติของปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดิน

         ลักษณะโครงสร้างทางกายภาพของปุ๋ยหมักไส้เดือนดินมีลักษณะเป็นเม็ดร่วนละเอียด มีสีดำออกน้ำตาล โปร่งเบา มีความพรุนระบายน้ำและอากาศได้ดีมาก มีความจุความชื้นสูงและมีประมาณอินทรียวัตถุสูงมาก ซึ่งผลจากการย่อยสลายขยะอินทรีย์ที่ไส้เดือนดินดูดกินเข้าไปภายในลำไส้ และด้วยกิจกรรมของจุลินทรีย์ที่อยู่ในลำไส้และน้ำย่อยของไส้เดือนดินจะช่วยให้ธาตุอาหารหลายๆ ชนิดที่อยู่ในเศษอินทรียวัตถุเหล่านั้นถูกเปลี่ยนให้อยู่ในรูปที่พืชสามารถนำไปใช้ได้ เช่น เปลี่ยนไนโตรเจน ให้อยู่ในรูป ไนเตรท หรือ แอมโมเนีย ฟอสฟอรัสในรูปที่เป็นประโยชน์ โพแทสเซียมในรูปที่แลกเปลี่ยนได้ และนอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบของธาตุอาหารพืชชนิดอื่นและจุลินทรีย์หลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อดิน รวมทั้งสารควบคุมการเจริญเติบโตของพืชหลายชนิดที่เกิดจากกิจกรรมของจุลินทรีย์ในลำไส้ของไส้เดือนดินอีกด้วย
การใช้ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินและน้ำหมักมูลไส้เดือนดินในการปลูกพืชจะส่งผลให้ดินมีโครงสร้างดีขึ้น คือทำให้ดินกักเก็บความชื้นได้มากขึ้น มีความโปร่งร่วนซุย รากพืชสามารถชอนไชและแพร่กระจายได้กว้าง ดินมีการระบายน้ำและอากาศได้ดี ทำให้จุลินทรีย์ดินที่เป็นประโยชน์บริเวณรากพืชสามารถสร้างเอนโซม์ที่เป็นประโยชน์ต่อพืชได้เพิ่มชึ้น นอกจากนี้จุลินทรีย์ดินที่ปนออกมากับมูลของไส้เดือนดินยังสามารถสร้างเอ็นไซม์ฟอสฟาเตสได้อีกด้วย ซึ่งจะมีส่วนช่วยเพิ่มประมาณฟอสฟอรัสในดินให้สูงขึ้นได้
 ประโยชน์และความสำคัญของปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดิน
1. ส่งเสริมการเกิดเม็ดดิน
2. เพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุแก่ดิน
3. เพิ่มช่องว่างในดินให้การระบายน้ำและอากาศดียิ่งขึ้น
4. ส่งเสริมความพรุนของผิวหน้าดิน ลดการจับตัวเป็นแผ่นแข็งของหน้าดิน
5. ช่วยให้ระบบรากพืชสามารถแดร่กระจายตัวในดินได้กว้าง
6. เพิ่มขีดความสามารถในการดูดซับน้ำในดิน ทำให้ดินชุ่มขึ้น
7. เพิ่มธาตุอาหารพืชให้แก่ดินโดยตรงและเป็นแหล่งอาหารของสัตว์และจุลินทรีย์ดิน
8. เพิ่มศักยภาพการแลกเปลี่ยนประจุบวกของดิน
9. ช่วยลดความเป็นพิษของธาตุอาหารพืชบางชนิดที่มีปริมาณมาเกินไป เช่น อลูมินัม และแมงกานีส
10. ช่วยเพิ่มความต้านทานในการเปลี่ยนแปลงระดับความเป็นกรด-เบส (Buffer capacity) ทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นไม่เร็วเกินไปจนเป็นอันตรายต่อพืช
11. ช่วยควบคุมปริมาณไส้เดือนฝอยในดิน เนื่องจากการใส่ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินจะทำให้มีปริมาณจุลินทรีย์ที่สามารถขับสารพวกอับคาลอยด์และกรดไขมันที่เป็นพิษต่อไส้เดือนฝอยได้เพิ่มขึ้น

วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วันต่อต้านยาเสพติด





วันสุนทรภู่



                                                                  ที่มา board.roigoo.com


สุนทรภู่ หรือ พระสุนทรโวหาร (ภู่) มีนามเดิมว่า ภู่ เป็นบุตรขุนศรีสังหาร (พลับ) และแม่ช้อย เกิดในรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันจันทร์ เดือนแปด ขึ้นหนึ่งค่ำ ปีมะเมีย จุลศักราช ๑๑๔๘ เวลาสองโมงเช้า ตรงกับวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๒๙ ที่บ้านใกล้กำแพงวังหลัง คลองบางกอกน้อย สุนทรภู่เกิดได้ไม่นาน บิดามารดาก็หย่าจากกันฝ่ายบิดากลับไปบวชที่บ้านกร่ำ เมืองแกลง จ.ระยอง ส่วนมารดา คงเป็นนางนมพระธิดา ในกรมพระราชวังหลัง (กล่าวกันว่าพระองค์เจ้าจงกล หรือเจ้าครอกทองอยู่) ได้แต่งงาน มีสามีใหม่และมีบุตรกับสามีใหม่ ๒ คนเป็นหญิง ชื่อฉิมและนิ่ม ตัวสุนทรภู่เองได้ถวายตัวเป็นข้าในกรมพระราชวังหลังตั้งแต่ยังเด็ก สุนทรภู่เป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอน สันทัดทั้งสักวาและเพลงยาว เมื่อรุ่นหนุ่มเกิดรักใคร่ชอบพอกับนาง ข้าหลวงในวังหลัง ชื่อแม่จัน ครั้นความทราบถึงกรมพระราชวังหลัง พระองค์ก็กริ้ว รับสั่งให้นำสุนทรภู่ และจันไปจองจำทันที แต่ทั้งสองถูกจองจำได้ไม่นาน เมื่อกรมพระราชวังหลังเสด็จทิวงคตในปี
พ.ศ. ๒๓๔๙ ทั้งสองก็พ้นโทษออกมา เพราะเป็นประเพณีแต่โบราณที่จะมีการปล่อยนักโทษ เพื่ออุทิศ ส่วนพระ ราชกุศลแด่ พระมหากษัตริย์หรือพระราชวงศ์ชั้นสูง เมื่อเสด็จสวรรคตหรือทิวงคตแล้ว แม้จะพ้นโทษ สุนทรภ ู่และจันก็ยังมิอาจสมหวังในรัก สุนทรภู่ถูกใช้ไปชลบุรี สุนทรภู่ได้เดินทางเลยไปถึงบ้านกร่ำ เมืองแกลง จังหวัด ระยอง เพื่อไปพบบิดาที่จากกันกว่า ๒๐ ปี สุนทรภู่เกิดล้มเจ็บหนักเกือบถึงชีวิต กว่าจะกลับมากรุงเทพฯ ก็ล่วง ถึง เดือน ๙ ปี พ.ศ.๒๓๔๙ หลังจากกลับจากเมืองแกลง สุนทรภู่ได้เป็นมหาดเล็กของพระองค์เจ้าปฐมวงศ ์ พระโอรสองค์เล็กของกรมพระราชวังหลัง ซึ่งทรงผนวชอยู่ที่วัดระฆัง ในช่วงนี้ สุนทรภู่ก็สมหวังในรัก ได้แม่จันเป็นภรรยาสุนทรภู่คงเป็นคนเจ้าชู้ แต่งงานได้ไม่นานก็เกิดระหองระแหงกับแม่จัน ยังไม่ทันคืนดี สุนทรภู่ก็ต้องตามเสด็จพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ไปนมัสการพระพุทธบาท จ.สระบุรี ในวันมาฆบูชา สุนทรภ ู่ได้แต่งนิราศ เรื่องที่สองขึ้น คือ นิราศพระบาท สุนทรภู่ตามเสด็จกลับถึงกรุงเทพฯ ในเดือน ๓ ปี
พ.ศ.๒๓๕๐ สุนทรภู่มีบุตรกับแม่จัน ๑ คน ชื่อหนูพัด แต่ชีวิตครอบครัวก็ยังไม่ราบรื่นนักในที่สุดแม่จันก็ร้างลาไป พระองค์เจ้าจงกล (เจ้าครอกทองอยู่) ได้รับอุปการะหนูพัดไว ้ ชีวิตของท่านสุนทรภู่ช่วงนี้คงโศกเศร้ามิใช่น้อย ประวัติชีวิตของสุนทรภู่ในช่วงปี
พ.ศ.๒๓๕๐ - ๒๓๕๙ ก่อนเข้ารับราชการ ไม่ชัดแจ้ง แต่เชื่อว่าท่าน หนีความเศร้าออกไปเพชรบุรี ทำไร่ ทำนา อยู่กับหม่อมบุญนาค ในพระราชวังหลัง นักเลงกลอนอย่างท่านสุนทรภู่ ทำไร่ทำนาอยู่นานก็ชักเบื่อ ด้วยเลือดนัก กลอนทำให้ท่านกลับมากรุงเทพฯ หากินทางรับจ้างแต่งเพลงยาว บอกบทสักวา จนถึงบอก บทละคร นอก บางทีนิทานเรื่องแรกของ ท่านคงจะแต่งขึ้นในช่วงนี้ การที่เกิดมีนิทานเรื่องใหม่ๆ ทำให้เป็นที่สนใจมาก เพราะ สมัยนั้นมีแต่กลอนนิทานจักรๆ วงศ์ๆ ไม่กี่เรื่อง ซ้ำไปซ้ำมาจนคนอ่าน คนดูรู้เรื่องตลอดหมดแล้ว นิทานของ ท่านทำให้นายบุญยัง เจ้าของคณะละครนอกชื่อดัง ในสมัยนั้นมาติดต่อว่าจ้างสุนทรภู่ ท่านจึงได้ร่วมคณะละคร เป็นทั้งคนแต่งบทและบอกบทเดินทางเร่ร่อนไปกับคณะละครจนทั่ว รับราชการครั้งแรก ก็สมัยพระ พุทธเลิศ หล้านนภาลัย ที่ได้อาจจะมาจากมูลเหตูที่รัชกาลที่ 2 ชอบบทกลอนเหมือนกัน แต่หลังจากรัชกาลที่ 2 เสด็จ สวรรคต นอกจาก แผ่นดินและผืนฟ้าจะร่ำไห้ ไพร่ธรรมดาคนหนึ่งที่มีโอกาสสูงสุด ในชีวิตได้เป็นถึง กวีที่ ปรึกษา ในราชสำนัก ก็หมดวาสนาไปด้วย สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์ไว้ถึง เหตุที่สุนทรภู่ ไม่กล้า รับราชการต่อใน แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ดังนี้ "เล่ากันว่า เมื่อทรงพระราชนิพนธ์ บทละคร เรื่องอิเหนา ทรงแต่งตอนนางบุษบาเล่นธาร เมื่อท้าว ดาหาไปใช้บน พระราชทานให้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อยังดำรงพระยศเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ทรงแต่ง "เมื่อทรงแต่งแล้ว ถึงวันจะอ่านถวายตัว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีรับสั่งวานสุนทรภู่ ตรวจดูเสียก่อน สุนทรภู่อ่านแล้วกราบทูลว่า เห็นดีอยู่แล้ว ครั้นเสด็จออก เมื่อโปรดให้อ่านต่อหน้ากวีที่ทรง ปรึกษาพร้อมกัน ถึงบทแห่งหนึ่งว่า " 'น้ำใสไหลเย็นแลเห็นตัว ปลาแหวกกอบัวอยู่ไหวไหว' "สุนทรภู่ติว่ายังไม่ดี ขอแก้เป็น " 'น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา ว่ายแหวกปทุมาอยู่ไหวไหว' "โปรดตามที่สุนทรภู่แก้ พอเสด็จขึ้นแล้ว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็กริ้ว ดำรัสว่า เมื่อ ขอให้ตรวจทำไมจึงไม่แก้ไข แกล้งนิ่งเอาไปไว้ติหักหน้ากลางคัน เป็นเรื่องที่ทรงขัดเคืองสุนทรภู่ครั้ง หนึ่ง "อีกครั้งหนึ่ง รับสั่งให้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแต่งบทละครเรื่องสังข์ทอง ตอน ท้าว สามลจะให้ลูกสาวเลือกคู่ ทรงแต่งคำปรารภของท้าวสามลว่า " 'จำจะปลูกฝังเสียยังแล้ว ให้ลูกแก้ว สมมาด ปรารถนา' " ครั้นถึงเวลาอ่านถวาย สุนทรภู่ถามขึ้นว่า 'ลูกปรารถนาอะไร' พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ต้องแก้ว่า " 'จำจะปลูกฝังเสียยังแล้ว ให้ลูกแก้วมีคู่เสน่หา' "ทรงขัดเคืองสุนทรภู่ว่าแกล้งประมาทอีกครั้งหนึ่ง แต่นั้นก็ว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมึนตึงต่อสุนทรภู่มาจนตลอดรัชกาลที่ ๒ ... " จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เพียงคิดได้ด้วยเฉพาะหน้าตรงนั้นก็ตาม สุนทรภู่ก็ได้ทำการไม่เป็นที่พอ พระราชหฤทัย ประกอบกับความอาลัยเสียใจหนักหนา ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สุนทรภู่ จึงลาออกจากราชการ และตั้งใจบวชเพื่อสนองพระมหากรุณาธิคุณ เมื่อกลับจากกรุงเก่า พระสุนทรภู่ได้ไปจำพรรษาอยู่ท ี่วัดอรุณ ราชวรารามหรือวัดแจ้ง
ปี พ.ศ.๒๓๗๒เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงฝากเจ้าฟ้ากลาง และเจ้าฟ้า ปิ๋ว พระโอรสองค์กลางและองค์น้อยให้เป็นศิษย์สุนทรภู่ การมีศิษย์ชั้นเจ้าฟ้าเช่นนี้จึงทำให้พระสุนทรภ ู่สุข สบาย ขึ้นพระสุนทรภู่อยู่วัดอรุณฯ ราว ๒ ปี จึงข้ามฟากมาจำพรรษาอยู่ท ี่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือวัดโพธิ์ เล่ากันถึงสาเหตุที่พระสุนทรภู่ย้ายวัดมา ก็เพราะสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงชัก ชวนให้มาอยู่ด้วยกัน สมเด็จฯ ทรงเป็นกวีองค์สำคัญของกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์หนึ่ง เชื่อว่าคงจะทรงคุ้นเคย กับสุนทรภู่ในฐานะที่เป็นกวีด้วยกัน โดยเฉพาะสมัยที่สุนทรภู่เป็นขุนสุนทรโวหารในรัชกาลที่ ๒ ชีพจรลงเท้า สุนทรภู่อีกครั้งเมื่อท่านเกิดไปสนใจเรื่องเล่นแร่แปรธาตุและยาอายุวัฒนะ ถึงแก่อุตสาหะไปค้นหา ทำให้เกิดนิราศ วัดเจ้าฟ้า และนิราศสุพรรณปี
พ.ศ.๒๓๘๓ สุนทรภู่มาจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดาราม ท่านอยู่ที่นี่ได้ ๓ พรรษา คืนหนึ่งเกิดฝันร้าย ว่าชะตาขาด จะถึงแก่ชีวิต จึงได้แต่งเรื่องรำพันพิลาป ซึ่งทำให้ทราบเรื่องราวในชีวิตของท่านอีกเป็นอันมาก จากนั้นจึงลาสิกขาบทเมื่อปี พ.ศ.๒๓๘๕ เพื่อเตรียมตัวจะตาย

วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วันต้นไม้ประจำปีแห่งชาติ



                                                          wowboom.blogspot.com

เมื่อปี พ.ศ.2481 กรมป่าไม้ได้มีการชักชวนข้าราชการ ประชาชนให้ร่วมกันปลูกต้นไม้ในวันชาติ คือ วันที่ 24 มิถุนายน 2481ซึ่งนับ เป็นครั้งแรกที่มีการปลูกต้นไม้ตามแบบฉบับที่ทำกันในต่างประเทศ ซึ่งเรียกกันว่า Arbor Day ปี พ.ศ.2484 กรมป่าไม้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ ป่าไม้ภูมิภาคดำเนินการร่วมกับ คณะกรรมการจังหวัด คณะกรรมการอำเภอ จัดให้มีการปลูกต้นไม้ในวันชาติ ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนเห็น ความสำคัญของต้นไม้และเป็นการเพิ่มพูนทรัพยากรธรรมชาติ นับว่าเป็นวันปลูกต้นไม้ทางการครั้งแรกปี พ.ศ.2494 องค์การอาหาร และเกษตรแห่งสหประชาชาติ F.A.O.ได้มีมติที่ประชุมใหญ่ให้ประเทศสมาชิกจัดเทศกาลปลูกต้นไม้ประจำปีแห่งชาติแต่เนื่องจาก ประเทศไทยได้มีการดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2481โดยถือเอาวันที่ 24 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันชาติเป็นวันปลูกต้นไม้ประจำปีอยู่แล้วปี พ.ศ.2503ได้มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีลงวันที่ 21 พฤษภาคม 2503 ยกเลิกวันชาติและคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2503ให้กำหนดวันเข้าพรรษาเป็นวันต้นไม้ประจำปี ปี พ.ศ. 2532 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เสนอคณะรัฐมนตรีว่าวันวิสาขบูชา อยู่ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม เป็นระยะเริ่มต้นของฤดูฝนโดยทั่วไป ควรกำหนดเป็นวันต้นไม้ประจำปีของชาติคณะรัฐมนตรีได้มีมติ อนุมัติเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2532 ปัจจุบันถือเอาวันวิสาขบูชา เป็นวันต้นไม้ประจำปีของชาติ

วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วันดื่มนมโลก




                                         http://i.kapook.com/glitter/2010/th/06/T010610_10C.gif

    วันดื่มนมโลก คือเป็นวันที่ทางรัฐบาลรณรงค์ใคนคนไทยดื่มนมเพื่อสุขภาพแข็งแรงต่อคนไทยทุกคน
นมมีประโยชน์มากมาย 1.มีวิตามินบี12ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง 2.มีคาร์โบไฮเดรตช่วยให้พลังงานต่อ
ร่างกาย 3.แมกนีเซืยมช่วยในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ 4.ฟอสฟอรัสช่วยสร้างพลังงานแก่ร่างกายและทำ
ให้กระดูกแข็งแรง 5.โปรแตสเซียมช่วยรักษาความดันในเลือดให้เป็นปกติ 6.โปรตีนช่วนในการเจริญเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ จึงอย่างให้ทุกไทยทุกคนเห็นความสำคัญของให้มากเพราะกินนมกันแล้วจะทำให้แข็งแรงและไม่เจ็บป่วยได้ง่าย

       

วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วันไหว้ครู

campus.sanook.com

  ละลึกถึงคุณครูที่เคารพที่สั่งสอนเรามาคุณครูเหมือนพ่อแม่คนที่สามของนักเรียนทุกคนมา
เราก็เปรียบเสมือนต้นไม้ที่เริ่มงอก บ่งบอกถึงการเจริญเติบโตไปอย่างช้าๆก็เหมือกับเราที่คุณครูได้สอนเรามาตั้งแต่เด็กๆ คุณครูเคยสอนเราในเรื่องที่เราไม่เข้าใจในวิชาที่เรียนหรือเรื่องที่เรามีปัญหากับชีวิตของเราคุณครูก็เป็นกำลังใจให้เรามาเสมอคุณครูเป็นคนที่ดีที่สุด นักเรียนทุกคนต้องมีครูถ้าไม่มีครูเราก็
เหมือนคนที่ไม่มีวิชาเพราะคุณครูคือผู้ให้ปัญญาและวิชาการกับเราทุกคนการที่เด็กนักเรียนทำพานไหว้
ในวันครูก็เป็นการเคารพคุณครูหรือเป็นการขอโทษที่เราได้ทำผิดกับคุณครูและคุณครูก็ได้สอนเราตอนที่เข้าไปกราบคุณครูในบางครั้งที่คุณครูเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีสำหรับเราและบอกสิ่งที่ดีให้กับเรามาปฏิบัติเพื่อเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเรา
   ในการที่เราทำพานธูปเทียนและพานดอกไม้ให้คุณครูทำให้คุณครูทุกคนรู้สึกได้ถึงความเคารพที่นักเรียนทุกคนมีต่อคุณครูมากจนไม่รู้ว่าจะตอบแทนพระคุณอย่างไร

วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เมื่อฉันต้องเขียนบล๊อก



                                                  forum-games.com


     วันนี้ผมได้มีโอกาสในการเขียนบล๊อกเป็นครั้งแรก ผมว่าดีเหมือนกันครับเพราะที่ผ่านมาผมเคยได้ยินพี่ๆที่เคยเขียนบล๊อกว่ามันช่วยในการจดจำสิ่งที่ดีๆไว้ให้เราได้เข้ามาดูอยู่เสมอๆหรือมีเรื่องอะไรที่สำคัญ
ก็สามารถเขียนลงไว้ในบล๊อกได้