วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2555

คำดูถูก คือ ยาชูกำลัง



                                

           http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/168/6168/images/12.jpg


ธรรมชาติของมนุษย์ไม่อยากได้รับคำนี้แต่ร้ไหมว่า คำดูถูก ช้วยสร้างคนมามากนักต่อนักแล้ว
อย่าเอาคำดูถูกมากดทับตัวเองให้ต่ำต้อยด่อยค่าบุคคลที่โปรยคำดูถูกแก่เรา จงขอบคุณเขา
คำดูถูกจะสร้างพลังฮึกเหิมแก่เราและความฮึกเหิมนี้แหละจะทำให้เรากลายเป็นคนแถวหน้าคำดู
ถูกมีค่ามากกว่าคำชมเพราะคำดูถูกช่วยทำให้เรารู้จักหาวิธีพัฒนาตัวเองรู้จักที่จะทำให้ตัวเองก้าวหน้า
ถ้าคุณรักตัวเอง
คุณต้องทำให้การดูถูกเปลี่ยนไปในทางสร้างสรรค์
ทำให้เป็นโอกาสสำหรับตัวเราเอง
ยิ่งโดนดูถูกมากเท่าไร
ยิ่งต้องมีพลังการต่อสู้มากเท่านั้น
การมัวแต่เศร้าโศกกับคำดูถูก
เท่ากับคุณไม่รักตัวเอง

จากหนังสือเรื่องทุกข์หรือสุขอยู่ที่ใจกำหนดให้เป็น ผู้แต่ง ทิพย์อาภา

วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555

วันสืบนาคะเสถียร






                                http://www.lib.ru.ac.th/journal/sep/images/Seub-a02.jpg




สืบ นาคะเสถียร หรือนามเดิมชื่อ "สืบยศ" เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๒ ที่ตำบลท่างาม อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี บิดาชื่อ นายสลับ นาคะเสถียร เคยดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด ปราจีนบุรี มารดาชื่อ นางบุญเยี่ยม นาคะเสถียร สืบ นาคะเสถียรมีพี่น้องทั้งหมด ๓ คน โดยสืบ นาคะเสถียร เป็นบุตรชายคนโต น้องชาย และน้องสาวอีก ๒ คนคือ คุณกอบกิจ นาคะเสถียร และคุณกัลยา รักษาสิริกุล สืบมีบุตรสาว ๑ คน ชื่อ ชินรัตน์ นาคะเสถียร บุคลิกประจำตัวของ สืบ นาคะเสถียร คือเมื่อเขาสนใจ หรือตั้งใจทำอะไรแล้วก็จะมีความมุ่งมั่น ตั้งใจทำอย่างจริงจังจนประสบความสำเร็จ และเป็นผู้ที่มีผลการเรียนดีมาโดยตลอด

           โดยที่สายตระกูลของ สืบ นาคะเสถียร เป็นครอบครัวชาวนา ชีวิตในช่วงปฐมวัยจึงต้องช่วยทำงานในนาของมารดา เมื่อว่างจากภาระดังกล่าว ก็ออกท่องเที่ยวไปกับเพื่อนๆ โดยมีไม้ง่ามหนังสติ๊กคู่ใจ ได้เข้าเรียนชั้น ประถมตอนต้น ที่โรงเรียนประจำจังหวัด ปราจีนบุรี ช่วงปิดเทอมว่างจากการเรียน ก็ออกไปช่วยทางบ้าน ยกเสริมแนวคันนาเอง เพื่อไม่ให้มีข้อพิพาทกับเพื่อนบ้าน ทำงานอยู่กลางแจ้งทั้งวัน แม้แดดจะร้อนก็มิเคยปริปากบ่น ครั้นเรียนจบชั้นประถม 4 ต้องจากครอบครัวไปเรียนอยู่ที่ โรงเรียนเซนหลุยส์ จังหวัดฉะเชิงเทรา จนกระทั่งเรียนจบชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๕

           สืบ นาคะเสถียร เข้าศึกษาในคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๑ สืบมีความตั้งใจในการศึกษาอย่างเต็มประสิทธิภาพ และเข้าร่วมกิจกรรมนิสิต โดยเป็นที่ทราบกันดีระหว่างผู้ใกล้ชิดว่า สืบเป็นผู้มีใจรักศิลปะ และสูงส่งในเชิงมนุษยสัมพันธ์ มีระเบียบในการดำเนินชีวิต ในสมัยเรียนอย่างมีแบบแผน พ.ศ. ๒๕๑๔ จบการศึกษาจาก คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ต่อมา พ.ศ. ๒๕๑๖ สืบเข้าทำงานที่ส่วนสาธารณะของการเคหะแห่งชาติ

           สืบ นาคะเสถียร ศึกษาในระดับปริญญาโท สาขา วนวัฒน์วิทยา ที่คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๗ จนสำเร็จการศึกษา และในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ได้เริ่มชีวิตข้าราชการ โดยบรรจุเข้ารับราชการ ตำแหน่งพนักงานป่าไม้ตรี กองอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมป่าไม้ และเริ่มชีวิตข้าราชการกรมป่าไม้ ซึ่งขณะนั้น กองอนุรักษ์สัตว์ป่า เป็นเพียงหน่วยงานเล็ก ๆ ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้น เขาตัดสินใจเลือกกองนี้ เพราะต้องการทำงาน เกี่ยวกับสัตว์ป่ามากกว่างานที่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ ป่าไม้โดยตรง สืบ เริ่มงานครั้งแรกที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขาเขียว-เขาชมภู่ จังหวัดชลบุรี ได้ผลักดันให้ สืบต้องเข้าไปทำหน้าที่ผู้รักษากฎหมาย อย่างเลี่ยงไม่พ้น ที่นั่นเขาได้จับกุม ผู้บุกรุกทำลายป่าโดยไม่เกรงอิทธิพลใดๆ ผู้ต้องหาล้วนได้รับการปฏิบัติอย่างสุภาพนิ่มนวล และที่นี่ สืบเริ่มเรียนรู้ว่า การเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่ซื่อสัตย์ นั้นเจ็บปวดเพียงไหน สืบทำงาน อยู่ ๓ - ๔ ปี
           ในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ สืบก็ได้รับทุนจาก British Council ไปเรียนระดับปริญญาโท สาขา อนุรักษ์วิทยา ที่มหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ จากนั้น พ.ศ. ๒๕๒๔ กลับมารับตำแหน่งหัวหน้าเขต ห้ามล่าสัตว์ป่า บางพระ มีส่วนร่วมในการจัดการ และประสานงาน รวมทั้งเป็นวิทยากร ฝึกอบรมพนักงาน พิทักษ์ป่าอีกหลายรุ่น จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๕๒๖ สืบได้ขอย้ายตัวเอง เข้ามาเป็นนักวิชาการ กองอนุรักษ์สัตว์ป่า ทำหน้าที่วิจัยสัตว์ป่าเพียงอย่างเดียว ในระยะนี้ เป็นจังหวะที่ สืบได้แสดงความเป็นนักวิชาการออกมาอย่างเต็มที่ งานวิจัยศึกษาสัตว์ป่าเป็นงานที่ สืบทำได้ดี และมีความสุขในการทำงานวิชาการมาก สืบรักงานด้านนี้เป็นชีวิต จิตใจ อันเป็นจุดเริ่มต้น ที่เขาได้ผูกพันกับสัตว์ป่าอย่างจริงจัง เขาเริ่มใช้เครื่องมือต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกล้อง วีดีโอ กล้องถ่ายภาพนิ่ง และการสเก็ตซ์ภาพ ในการบันทึกงานวิจัยทั้งหมด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้กลาย เป็นผลงานการวิจัยสัตว์ป่าชิ้นสำคัญของเมืองไทยในเวลาต่อมาสืบ นาคะเสถียร ได้รับมอบหมาย ปฏิบัติงานในหน้าที่ หัวหน้าโครงการอพยพสัตว์ป่าตกค้าง ในพื้นที่อ่างเก็บน้ำ เขื่อนรัชชประภา (เชี่ยวหลาน) จังหวัด สุราษฏร์ธานี ในปี พ.ศ. ๒๕๒๙ ให้เข้าไปช่วยเหลืออพยพสัตว์ป่าที่ตกค้าง ในอ่างเก็บน้ำ ซึ่งเกิดจากการสร้างเขื่อนเชี่ยวหลาน สืบได้ทุ่มเทเวลาให้กับการกู้ชีวิตสัตว์ป่าที่หนีภัยน้ำท่วม โดยไม่ได้นึกถึง ความปลอดภัยของตนเองเลย จากการทำงานชิ้นดังกล่าว สืบเริ่มเข้าใจ ปัญหาทั้งหมดอย่างถ่องแท้ เขาตระหนักว่าลำพังงานวิชาการเพียงอย่างเดียวย่อมไม่อาจหยุดยั้งกระแสการทำลายป่า และสัตว์ป่าอันเป็นปัญหา ระดับชาติได้ ดังนั้น เมื่อมีกรณีรัฐบาลจะสร้างเขื่อนน้ำโจน ในบริเวณทุ่งใหญ่นเรศวร สืบจึงโถมตัวเข้าคัดค้านเต็มที่
            สืบ นาคะเสถียร ได้กลับเข้ามารับราชการที่กองอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมป่าไม้ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๑ และต่อมา พ.ศ. ๒๕๓๒ สืบได้เข้ารับตำแหน่งหัวหน้าเขต รักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง สืบได้พยายามในการที่จะเสนอให้ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร และห้วยขาแข้งมีฐานะเป็นมรดกของโลก โดยได้รับการยกย่องอย่างเป็นทางการ จากองค์การสหประชาชาติ สืบเล็งเห็นว่า ฐานะดังกล่าวจะเป็นหลักประกันสำคัญที่คอยคุ้มครองป่าผืนนี้เอาไว้อย่างถาวร ปลายปี พ.ศ. ๒๕๓๒สืบได้รับทุน ไปเรียนต่อระดับปริญญาเอก ที่ประเทศอังกฤษ พร้อมๆ กับได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่ง หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ซึ่งเป็นป่าอนุรักษ์ที่มีความสำคัญมากไม่แพ้ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร แต่ในที่สุด สืบก็ตัดสินใจเดินทางเข้ารับตำแหน่ง หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง แม้จะรู้ดีว่าหนทางข้างหน้าเต็มไปด้วย ความยากลำบากนานัปการ
          เช้ามืดวันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๓ สืบ นาคะเสถียร ตัดสินใจผ่าทางตันด้วยการสั่งเสียลูกน้อง คนสนิท และเขียนจดหมายสั่งลา ๖ ฉบับ ชำระสะสางภาระรับผิดชอบ และทรัพย์สินส่วนตัวที่คั่งค้าง มอบหมาย เครื่องใช้ และอุปกรณ์ในการศึกษาวิจัยด้านสัตว์ป่า ให้สถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำ เพื่อนำไปใช้ตามวัตถุกระสงค์ดังกล่าว ตั้งศาลเพื่อแสดงความคารวะต่อ ดวงวิญญาณของเจ้าหน้าที่ ซึ่งพลีชีพรักษาป่าห้วยขาแข้ง แล้วสวดมนต์ไหว้พระจนจิตใจสงบ ขณะที่ฟ้ามืดกำลังเปิดม่านรับวันใหม่ เสียงปีนดังขึ้นนัดหนึ่งในราวป่าลึก ที่ห้วยขาแข้ง สืบ นาคะเสถียร ก็ปิดม่านชีวิตของเขาลง และเป็นบทเริ่มต้น ตำนานนักอนุรักษ์ไทย สืบ นาคะเสถียร ผู้ที่รักป่าไม้ สัตว์ป่าและธรรมชาติ ด้วยกาย วาจา และหลังจากนั้นอีกสองอาทิตย์ต่อมา ห่างจากบริเวณที่เกิดเสียงปืนดังขึ้นไม่กี่สิบเมตรบรรดาเจ้าหน้าที่ ระดับสูงของกรมป่าไม้ รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด นายทหาร นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ นายอำเภอ ป่าไม้เขต และเจ้าหน้าที่ป่าไม้ อีกนับร้อยคน ต่างกุลีกุจอมาประชุมกันที่ห้วยขาแข้ง อย่างแข็งขัน เพื่อหามาตรการป้องกันการบุกรุก ทำลายป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง สืบ นาคะเสถียร รอวันนี้มาตั้งแต่วันแรกที่เขามาดำรงตำแหน่ง หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งนี้แล้ว แต่หากไม่มีเสียงปืนนัดนั้น การประชุมดังกล่าวก็คงไม่เกิดขึ้นเช่นกัน การจากไปของเขานับเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ และเป็นความสูญเสียที่นักอนุรักษ์ธรรมชาติทุกคน ไม่อาจปล่อยให้ผ่านพ้นไป โดยปราศจากความทรงจำ

วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ต้องสู้จึงชนะ

คนใจสู้ จะมองเห็นหนทางแก้ปัญหา ปัญหาทุกอย่างล้วนมีทางแก้ไข ชีวิตจะขาดรสชาติ ถ้าไม่มีอุปสรรคให้เราได้ลิ้มรส และได้สัมผัสมัน อุปสรรคและปัญหาทำให้คนเราได้รู้จักการต่อสู้ เมื่อใด

ขึ้นฉ่าย





                                http://kanchanapisek.or.th/kp6/BOOK13/pictures/s13-222-4.jpg


ลักษณะขึ้นฉ่ายเป็นพืชล้มลุกฤดูเดียว ทุกส่วนของต้นมีกลิ่นหอม ลำต้นอวบเป็นเหลี่ยม ด้านในกลวงสูง
30-50 เซนติเมตร ใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 2-3 คู่ใบย่อยรูปไข่กว้าง โคนสอบเข้าหาก้านใบ ขอบใบจักึกเป็นแฉกไม่เท่ากัน ดอกเป็นช่อขนาดใหญ่คล้ายซี่ร่ม ดอกย่อยขาดเล็กสีขาวเป็นดอกสมบูรณ์เพศ
ผลแห้งแก่แล้วแตก รูปกลมรี ขนาดเล็ก สีน้ำตาลอ่อน มีกลิ่นหอม
การใช้ประโยชน์
ใช้เป็นผักสด รับประทานส่วนใบและก้านนำไปเป็นผักชูรสอาหารอีกหลายประเภทและเป็นผักสมุนไพรในทางยาเช่น ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคได้ และโรคหัวใจขาดเลือดได้เช่นกัน

ที่มาจากหนังสือเรื่องผักสมุนไพร ผู้แต่ง ปิยะ  เฉลิมกลิ่น

ขมิ้นชัน


http://www.industry.in.th/uploadedimages/knowledge/images/km39562_20120620173833_298967078_fullsize.jpg


                                                             ขมิ้นชัน
ลักษณะของขมิ้นชัน คือ เป็นพืชล้มลก มีอายุหลายปี มีลำต้นใต้ดินที่เรียกว่าเหง้า ประกอบด้วยแง่งหลักที่เรียกกว่า หัว แต่ถ้ามีลักษณะยาวคล้ายนิ้วมือเรียกว่า นิ้ว มีกลิ่นหอมใบเดียวออกสลับกันแตกขึ้นมาเหง้า  ออกดอกเป็นช่อรูปทรงกระบอก โดยแทงออกมาจากเหง้าบริเวณใจกลางกลุ่มใบ ดอกย่อยของขมิ้นชันสีเหลืองอ่อน
การใช้ประโยชน์
ขมิ้นเหลืองหรือขนิ้นชัน ใช้แต่งกลิ่น สี และรสอาหาร และสามารถช่วยป้องกันมะเร็งได้น้ำต้มขมิ้น
ใช้รักษาอาการนิ่วในถุงน้ำดีรวมทั้งโรคกระเพราะอาหาร เป็นต้น


ที่มาจากหนังสือเรื่องผักสมุนไพร ผู้แต่ง ปิยะ  เฉลิมกลิ่น

วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วันวิทยาศาสตร์






      http://kruvoravut.files.wordpress.com/2012/08/478.jpg?w=440&h=320
     
 วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2411 ถือเป็นวันสำคัญยิ่งในวงการศึกษา วงการดาราศาสตร์ และวงการวิทยาศาสตร์ของไทย เพราะเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารค และสถลมารค เพื่อทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวงที่ ต.หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
        พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาสามารถปรับปรุงสยามประเทศให้เจริญทัดเทียมนานาอารยประเทศ ทรงรับเอาศิลปวิทยาการและความคิดสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ในการปกครองประเทศ ด้วยเหตุนี้องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) จึงได้ประกาศยกย่องพระเกียรติคุณของพระองค์ให้ทรงเป็นบุคคลสำคัญของโลกด้วยพระราชกรณียกิจและพระเกียรติคุณนานัปการ โดยเฉพาะพระราชกรณียกิจด้านดาราศาสตร์
        เนื่องด้วยพระองค์ทรงสนพระทัยวิชาคณิตศาสตร์และวิชาดาราศาสตร์ในตำราโหราศาสตร์ของไทย ในที่สุดพระองค์ทรงค้นคิดวิธีการคำนวณปักข์ (ครึ่งเดือนทางจันทรคติ) โดยอาศัยหลักตำราสารัมภ์ของมอญ เพื่อประโยชน์ในการกำหนดวันธรรมสวนะ (วันพระ) ให้ถูกต้องตามการโคจรของดวงจันทร์ที่เรียกว่า ปฏิทินปักขคณนา ยิ่งกว่านั้น พระองค์ได้ทรงคิดสูตรสำเร็จในการคำนวณปักข์ออกมาในรูปกระดานไม้สี่เหลี่ยมผืนผ้า มีเครื่องหมายเรียงเป็นแถว 10 แถว แต่ละแถวมีจำนวนต่างกัน และมีเครื่องหมายแทนดวงดาว 5 ดวง เดินเคลื่อนไหวเหนือแถวเหล่านั้นคล้ายกับเดินตัวหมากรุก ก็จะได้วันพระที่ถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาคำนวณ เรียกว่า กระดานปักขคณนา ปัจจุบันนี้คณะธรรมยุตยังคงใช้กันอยู่ สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นสาเหตุที่จุดประกายให้พระองค์ทรงเริ่มสนพระทัยในวิชาดาราศาสตร์อย่างจริงจัง
        ในพระราชฐานของพระองค์ทั้งที่กรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัดจะมีหอดูดาว โดยเฉพาะ หอชัชวาลเวียงไชย นี้มีความสำคัญมากในประวัติศาสตร์วิชาดาราศาสตร์ของไทย ด้วยมีพระราชประสงค์จะให้เป็นสถานที่สังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ในการรักษาเวลามาตรฐานของประเทศไทยต่อไป ดังนั้นหอนี้จึงเป็นอนุสรณ์แห่งสัมฤทธิผลในทางวิทยาศาสตร์เรื่องระบบเวลา พระองค์ทรงสถาปนาระบบเวลามาตรฐานขึ้นในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2394 โดยสร้างพระที่นั่งภูวดลทัศไนยขึ้นในพระบรมราชวัง ใช้เป็นหอนาฬิกาหลวงบอกเวลามาตรฐานของประเทศไทยสมัยนั้น โดยมีพนักงานตำแหน่งพันทิวาทิตย์ เทียบเวลาตอนกลางวันจากดวงอาทิตย์ และพันพินิตจันทรา เทียบเวลาตอนกลางคืนจากดวงจันทร์
        นอกจากนี้พระองค์ยังได้ทรงคำนวณเหตุการณ์ล่วงหน้าถึง 2 ปีว่า วันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 จะเกิดเหตุการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงในประเทศไทย ที่ที่จะเห็นเหตุการณ์สุริยุปราคาชัดเจนที่สุดก็คือ หมู่บ้านหัววาฬ ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พระองค์จึงเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรเหตุการณ์สุริยุปราคาที่นั่น และเหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่พระองค์ทรงพยากรณ์ทุกประการ ไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่วินาทีเดียว ทางสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย โดยเฉพาะทางด้านดาราศาสตร์จึงคิดกันว่า น่าจะถือว่าวันนี้เป็นวันวิทยาศาสตร์ของไทย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการกำหนดวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติในการประชุม เมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2525 เพื่อเทอดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็น "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" พร้อมทั้งกำหนดให้วันที่ 18 สิงหาคมของทุกปีเป็น "วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ"  

วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วันแม่แห่งชาติ


http://www.tlcthai.com/motherday/wp-content/uploads/2011/08/mom1.jpg



ทุกคนเกิดมาต้องแม่ถ้าไม่มีแม่เราก็ไม่ได้เกิดมาพระคุณของยิ่งไหญ่มากจนเราไม่ทดแทนคุณได้หมดแต่เราก็สามารถทดแทนคุณท่านได้โดยทำตัวให้ท่านได้ภูมิใจเป็นคนดีต่อแม่เชื่อฟังในเวลาที่ท่านสอนเรา ที่ท่านสอนเรานั้นท่านอยากให้เราเป็นคนดี แม่ได้ดูแลเรามาตั้งแต่เราเป็นเด็กตัวเล็กๆค่อยให้กินนมให้กินแต่อาหารดีๆสำหรับเราทุกอย่างและคอยดูแลเราไม่ให้เจ็บป่วยรักษาเราเป็นอย่างดี